http://www.true100percent.com/

http://www.true100percent.com/
สั่งซื้อสินค้าอออนไลน์ ได้ง่ายๆ คลิกเลย^^ www.true100percent.com
atopalm atopiclair Beta-Curve Bio-oil BK MASK burnova cetaphil CG210 COLLA-L creatine activ Dermalis DERMALIS skincare dermatix Dr.Jill DYMABURN Ellgy eucerin EZERRA Gluta Mc Plus HAKUBI C Gel Helionof Himalaya hiruscar LA ROCHE LIPO8 MAXKIN MC PLUS mederma MEDMAKER Meiji Melloderm-HQ Neocell okamoto OMG Physiogel pico Preme SAND-M scagel scaresthetique scargel Smooth-E spectraban TOMEI Vistra vitara berich Zermix กระชับสัดส่วน กระตุ้นภูมิคุ้มกัน กันแดด ครีมบำรุงผิว เคล็ดลับสุขภาพดี เคล็ดลับหน้าขาวใส ช่วยนอนหลับ ที่ตรวจการตกไข่ ที่ตรวจครรภ์ใช้ง่าย ที่ตรวจยาบ้า บำรุงกระดูกและข้อต่อ บำรุงสุขภาพ ปากแห้ง ผมร่วง ผิวขาว ผิวแพ้ง่าย เพิ่มสมรรถภาพชาย มาส์กหน้าใส รักษาฝ้า รักษาสิว ลดน้ำหนัก ลบรอยแผลเป็น ลิปบาล์ม สมุนไพร กลูต้าไทโอน คอลลาเจน ตังถังเช่า ถังเช่า ถุงยางอนามัย ทับทิม เวย์โปรตีน AHA Aloe vera grape seed Urea อุปกรณ์การแพทย์ FOR MEN FOR WOMEN Review COSMETIC Review Vitamin

วันพฤหัสบดีที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2561

ความหมาย ตาขี้เกียจ


ตาขี้เกียจ

ความหมาย ตาขี้เกียจ


ตาขี้เกียจ (Amblyopia/Lazy Eye) คือ โรคทางสายตาที่ทำให้ดวงตามองเห็นภาพได้ไม่ชัดเจน หากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องจะส่งผลให้ความสามารถในการมองเห็นลดลงและตาบอดถาวรในอนาคต ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นกับดวงตาข้างเดียว แต่บางรายอาจพบได้ทั้ง 2 ข้าง ซึ่งโรคนี้มักจะปรากฏในเด็กอายุไม่เกิน 7 ปี เนื่องจากเป็นช่วงที่มีพัฒนาการทางการมองเห็น



อาการตาขี้เกียจ

โรคนี้ค่อนข้างสังเกตได้ยาก และตัวเด็กเองก็อาจแยกออกไม่ออกว่าเกิดอาการกับดวงตาข้างใดข้างหนึ่งหรือไม่ ยกเว้นในกรณีที่มองเห็นความผิดปกติจากดวงตาได้ชัดเจน ผู้ป่วยมักมีอาการ ดังนี้
การมองเห็นของดวงตาข้างใดข้างหนึ่ง หรือทั้ง 2 ข้างแย่ลง
มีอาการตาเหล่ ต้องเอียงศีรษะหรือปิดตาไว้ข้างหนึ่ง เพื่อให้มองเห็นได้ชัด
การกะระยะหรือวัดความห่างระหว่างวัตถุกับสิ่งอื่น ๆ ทำได้ยาก
ดวงตาเบนเข้าด้านในหรือออกด้านนอก
ปวดศีรษะ

พ่อแม่อาจเริ่มสังเกตอาการของเด็กได้ตั้งแต่หลังคลอดไม่กี่สัปดาห์ แต่ในเด็กบางคนอาจไม่พบอาการผิดปกติใด ๆ ที่เห็นได้อย่างชัดเจน จึงจำเป็นต้องอาศัยการตรวจสายตาอย่างละเอียดเป็นหลัก แพทย์มักจะแนะนำให้เด็กอายุระหว่าง 3-5 ปีเข้ารับการตรวจคัดกรองสายตาจากจักษุแพทย์ เพราะการตรวจพบโรคได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ จะช่วยให้การรักษาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและช่วยให้พัฒนาการทางด้านสายตาของเด็กเป็นไปตามวัย นอกจากนี้ เด็กบางกลุ่มอาจมีความเสี่ยงทำให้มีโอกาสในการเป็นโรคนี้มากกว่าปกติเมื่อมีปัจจัยกระตุ้น ดังนี้
เด็กที่มีตาเหล่หรือตาเข
สายตาสั้นหรือสายตายาวอย่างรุนแรงทั้ง 2 ข้าง
สายตา 2 ข้าง ไม่เท่ากัน โดยข้างหนึ่งอาจสั้นหรือยาวมากกว่าอีกข้างหนึ่ง
มีสภาวะบางอย่างที่ทำให้แสงเข้าตาได้ไม่ปกติ เช่น เป็นต้อกระจก หนังตาตก เป็นต้น
มีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคตาขี้เกียจ ตาเขหรือตาเหล่
เด็กที่คลอดก่อนกำหนดหรือคลอดออกมาน้ำหนักตัวน้อย
มีความผิดปกติด้านพัฒนาการ

สาเหตุของตาขี้เกียจ

ตาขี้เกียจอาจเป็นผลมาจากสภาวะใด ๆ ที่บดบังการมองเห็นของดวงตา ทำให้พัฒนาการทางสายตาแย่ลงจนมองเห็นได้ไม่ชัดเจน ซึ่งอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น
ตาเขหรือตาเหล่ (Strabismus) เป็นปัญหาทางสายตาที่มักจะทำให้เกิดตาขี้เกียจในเด็กได้บ่อย เกิดจากดวงตาทั้ง 2 ข้างทำงานไม่ประสานกัน ข้างใดข้างหนึ่งอาจมองตรง ส่วนอีกข้างอาจจะเฉออกไปด้านข้าง บน หรือล่าง ทำให้มองเห็นเป็นภาพซ้อน ผู้ที่มีอาการตาเขหรือตาเหล่จึงเลือกใช้ดวงตาข้างที่มองตรง เพื่อหลีกเลี่ยงการมองเห็นภาพซ้อนกัน จึงทำให้ดวงตาอีกข้างไม่พัฒนาไปตามปกติ สุดท้ายกล้ามเนื้อตาข้างนั้นจึงไม่ได้ใช้งาน การมองเห็นลดลง และสุดท้ายจึงมองเห็นภาพได้ไม่ชัดเจน
ภาวะสายตาผิดปกติที่ต่างกันมาก (Refractive Errors) อาจเป็นไปได้ทั้งสายตายาว สายตาสั้น หรือสายตาเอียงที่เป็นผลมาจากการหักเหของแสงที่ส่องผ่านแก้วตาผิดปกติ โดยทั่วไปคนที่มีปัญหาทางด้านสายตามักจะเป็นเหมือนกันทั้ง 2 ข้างและมีค่าสายตาใกล้เคียงกัน แต่ในบางรายอาจมีภาวะสายตาผิดปกติที่มีค่าสายตาทั้ง 2 ข้างต่างกันมาก (Anisometropia) ซึ่งมีโอกาสเกิดตาขี้เกียจได้สูง เพราะแสงที่ส่องผ่านเข้าเลนส์ตามากน้อยไม่เท่ากัน ทำให้สมองเลือกตอบสนองกับดวงตาข้างที่รับแสงได้ดีกว่า ดวงตาอีกข้างจึงไม่ค่อยถูกใช้งานและพัฒนาน้อยกว่าอีกข้าง
ความผิดปกติที่ทำให้เกิดความมัวในตา (Stimulus Deprivation Amblyopia) เป็นความผิดปกติที่เกิดได้จากมีสิ่งกีดขวางหรือบดบังการมองเห็นของดวงตา ทำให้การรวมแสงไม่ตกบนจอตา ผู้ป่วยจึงมองเห็นภาพได้ไม่ชัด เช่น เป็นต้อกระจกแต่กำเนิด จึงทำให้เลนส์แก้วตาที่มีความใสตามปกติเริ่มขุ่นมัวจนบดบังการมองเห็น บางส่วนอาจพบว่ามาจากโรคที่ทำให้หนังตาตกหรือเปลือกตาตกจนไปขัดขวางการมองเห็น

การวินิจฉัยตาขี้เกียจ

แพทย์จะตรวจวินิจฉัยโรคด้วยการตรวจตาอย่างละเอียดและวัดสายตา เพื่อตรวจว่าไม่มีสิ่งบดบังแสงที่จะส่องเข้าสู่แก้วตา ดวงตาทั้ง 2 ข้างมองเห็นได้เป็นปกติ และการเคลื่อนไหวของดวงตาเป็นปกติ ซึ่งเทคนิคในการตรวจต่าง ๆ จะขึ้นอยู่กับอายุของเด็กเป็นหลัก หากเป็นเด็กที่มีอาการตาเหล่หรือตาเข กุมารแพทย์อาจจะส่งให้จักษุแพทย์เด็ก ซึ่งเป็นผู้ชำนาญการตรวจวัดภาวะตาเขหรือตาเหล่โดยเฉพาะช่วยดูแลอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันการเกิดตาขี้เกียจจนยากต่อการรักษา

นอกจากนี้ ยังมีการตรวจด้านอื่น ๆ เพิ่มเติมในกรณีที่พบว่าผลการตรวจสายตาเป็นปกติ แต่สงสัยว่าอาจมีโรคซ่อนอยู่ เช่น ซีที สแกน (CT Scan) เอ็มอาร์ไอ (MRI) การตรวจหาจุดรั่วด้วยการฉีดสีฟลูออเรสซีน (Fluorescein Angiography) เพื่อดูความผิดปกติของจอประสาทตา การตรวจทางสรีรวิทยาไฟฟ้าหัวใจ (Electrophysiology Study) การถ่ายภาพของจอประสาทตา (Spectral-Domain Optical Coherence Tomography: SD-OCT)

การรักษาตาขี้เกียจ

การตรวจพบตาขี้เกียจตั้งแต่เด็กจะมีโอกาสในการรักษาให้หายขาดได้สูงกว่าเมื่อพบตอนเป็นผู้ใหญ่ การรักษาก่อนอายุ 7 ปี จะได้ผลดีมากที่สุด เนื่องจากเป็นช่วงที่มีการพัฒนาดวงตาและสมองส่วนที่ควบคุมการมองเห็น แต่เมื่อผ่านพ้นช่วงอายุ 7-9 ปีขึ้นไป การรักษาอาจทำได้ยากมากขึ้นตามอายุ อย่างไรก็ตามในช่วงอายุไม่เกิน 17 ปี การตอบสนองต่อการรักษายังเป็นไปได้ด้วยดี

แนวทางในการรักษาจะเป็นการกระตุ้นให้ผู้ป่วยใช้งานดวงตาข้างที่กล้ามเนื้อตาอ่อนแรง เพื่อช่วยให้สมองทำงานประสานกับดวงตาข้างที่ใช้งานน้อยให้มากขึ้น และรักษาความผิดปกติของสายตาที่เป็นต้นเหตุ โดยอาจใช้หลายวิธีควบคู่กัน ดังนี้
สวมแว่นสายตาหรือคอนแทคเลนส์ ช่วยแก้ไขปัญหาสายตาของผู้ป่วยที่มีความต่างระหว่างสายตาทั้ง 2 ข้างมาก จึงทำให้มองเห็นภาพได้ชัดเจนและสั่งการสมองให้ทำงานประสานกับดวงตาข้างที่อ่อนแอมากขึ้น เพื่อพัฒนาสายตาทั้ง 2 ข้างให้มีการทำงานเท่ากันและเป็นไปตามปกติ
ใส่ที่ครอบตา แพทย์จะแนะนำให้ผู้ป่วยสวมที่ครอบตากับดวงตาข้างที่ใช้งานบ่อยเป็นระยะเวลาประมาณ 2-6 ชั่วโมงต่อวันในช่วงเวลาที่มีการใช้งานดวงตา โดยอาจต้องสวมที่ครอบตาไว้ติดต่อกันนานเป็นสัปดาห์ไปจนถึงเป็นปีตามสถานการณ์ของแต่ละคน
ใช้ยาหยอดตา เป็นยาหยอดตาที่มีส่วนประกอบของสารอะโทรปีนหยอดลงในตาข้างที่แข็งแรงสัปดาห์ละ 2 ครั้ง เพื่อทำให้เกิดอาการมัวชั่วคราวและกระตุ้นให้ดวงตาข้างที่อ่อนแอใช้งานมากขึ้น แต่อาจส่งผลให้ดวงตามีความไวต่อแสงมากขึ้น
การผ่าตัด เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีสาเหตุตาขี้เกียจจากตาเขหรือตาเหล่ หนังตาตก และการรักษาในวิธีข้างต้นไม่ได้ช่วยให้ตำแหน่งของสายตากลับมาเป็นปกติ แพทย์อาจแนะนำให้มีการผ่าตัดกล้ามเนื้อดวงตาเพื่อให้ทำงานได้เป็นปกติมากขึ้น

ระยะเวลาในการรักษาอาจแตกต่างกันออกไปตั้งแต่หลายสัปดาห์ไปเป็นปี แต่โดยเฉลี่ยจะอยู่ที่ 6 เดือนถึง 2 ปี นอกจากนี้ หลังการรักษาจบลงอาจต้องมีการตรวจดูอาการอยู่เป็นระยะ เพราะเด็กที่เคยเป็นตาขี้เกียจอาจมีโอกาสกลับมาเป็นได้อีกประมาณ 25 เปอร์เซ็นต์ จากจำนวนเด็กที่เป็นโรคนี้ทั้งหมด ทำให้ต้องเข้ารับการรักษาแบบเดิมซ้ำจนกว่าอาการจะดีขึ้น

ภาวะแทรกซ้อนของตาขี้เกียจ

เมื่อผู้ป่วยที่เป็นโรคตาขี้เกียจไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องและทันเวลาอาจส่งผลให้ความสามารถในการมองเห็นลดลงไปจนถึงขั้นสูญเสียการมองเห็นอย่างถาวร โดยพบตาบอดถาวรในผู้ใหญ่ที่เกิดตาขี้เกียจได้ประมาณ 2.9 เปอร์เซ็นต์

การป้องกันตาขี้เกียจ

เด็กทุกคนมีโอกาสในการเกิดตาขี้เกียจ โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยงที่กล่าวไปข้างต้น หากเป็นทารกแรกเกิดไปจนถึงวัย 6-12 เดือน พ่อแม่ควรหมั่นสังเกตอาการของทารกและพบแพทย์ตามนัดการตรวจสุขภาพของเด็กอย่างสม่ำเสมอ ส่วนเด็กที่อยู่ในช่วงวัยก่อนเข้าเรียนหรืออายุประมาณ 3-4 ปี ควรเข้ารับการตรวจวัดสายตาเป็นประจำ เพื่อการตรวจพบโรคได้ตั้งแต่ในระยะเนิ่น ๆ และรักษาได้ทันท่วงที นอกจากนี้ ผู้ที่สายตาหรือดวงตาเกิดความผิดปกติควรรีบพบจักษุแพทย์


https://www.pobpad.com

สนใจสินค้านี้ สั่งซื้อราคาถูกพิเศษที่>>http://www.vitamin24hr.com
ถูกที่สุดทั่วไทย สินค้าบริษัท
แอดไลน์ที่>> http://line.me/ti/p/%40vitamin24hr
หรือ ไลน์ไอดี @vitamin24hr
****
วันนี้กดไลค์เพจเราและแชร์แบบสาธารณะ เพื่อลุ้นรับขนาดทดลอง จัดส่งถึงบ้าน ประกาศผลทุกสิ้นเดือนจ้า ^__^

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

www.True100percent.com โทร 092-6161666, 02-0027539 : LINE: @mox9486f

เวชสำอางค์ ให้คุณช้อปจนจุใจ