http://www.true100percent.com/

http://www.true100percent.com/
สั่งซื้อสินค้าอออนไลน์ ได้ง่ายๆ คลิกเลย^^ www.true100percent.com
atopalm atopiclair Beta-Curve Bio-oil BK MASK burnova cetaphil CG210 COLLA-L creatine activ Dermalis DERMALIS skincare dermatix Dr.Jill DYMABURN Ellgy eucerin EZERRA Gluta Mc Plus HAKUBI C Gel Helionof Himalaya hiruscar LA ROCHE LIPO8 MAXKIN MC PLUS mederma MEDMAKER Meiji Melloderm-HQ Neocell okamoto OMG Physiogel pico Preme SAND-M scagel scaresthetique scargel Smooth-E spectraban TOMEI Vistra vitara berich Zermix กระชับสัดส่วน กระตุ้นภูมิคุ้มกัน กันแดด ครีมบำรุงผิว เคล็ดลับสุขภาพดี เคล็ดลับหน้าขาวใส ช่วยนอนหลับ ที่ตรวจการตกไข่ ที่ตรวจครรภ์ใช้ง่าย ที่ตรวจยาบ้า บำรุงกระดูกและข้อต่อ บำรุงสุขภาพ ปากแห้ง ผมร่วง ผิวขาว ผิวแพ้ง่าย เพิ่มสมรรถภาพชาย มาส์กหน้าใส รักษาฝ้า รักษาสิว ลดน้ำหนัก ลบรอยแผลเป็น ลิปบาล์ม สมุนไพร กลูต้าไทโอน คอลลาเจน ตังถังเช่า ถังเช่า ถุงยางอนามัย ทับทิม เวย์โปรตีน AHA Aloe vera grape seed Urea อุปกรณ์การแพทย์ FOR MEN FOR WOMEN Review COSMETIC Review Vitamin

วันพฤหัสบดีที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2561

ความหมาย ตับแข็ง


ความหมาย ตับแข็ง


ตับแข็ง (Liver Cirrhosis) เป็นโรคที่เป็นผลมาจากเนื้อเยื่อตับถูกทำลายต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานจากหลายสาเหตุ จนเกิดแผลเป็นและพังผืดขึ้น ทำให้ตับไม่สามารถทำงานได้เป็นปกติ และอาจหยุดการทำงานลงจนนำไปสู่ภาวะตับวายเฉียบพลัน (Liver Failure)



ตับเป็นอวัยวะขนาดใหญ่ที่มีความสำคัญต่อการทำงานในร่างกาย เช่น กรองสารอาหารที่สำคัญกลับเข้าสู่กระแสเลือดและกรองของเสียออกนอกร่างกาย ผลิตโปรตีนที่มีส่วนช่วยในการแข็งตัวของเลือด ขนส่งออกซิเจน หรือเป็นส่วนประกอบของระบบภูมิคุ้มกัน ผลิตน้ำดีที่เป็นสารสำคัญในการช่วยย่อยไขมัน เป็นแหล่งสะสมน้ำตาลสำหรับใช้เป็นพลังงานสำรองของร่างกายในรูปของไกลโคเจน แต่เมื่อการทำงานของตับลดลงจะทำให้เกิดความผิดปกติอื่น ๆ ตามมา

อาการของโรคตับแข็ง

โรคตับแข็งไม่มีอาการเฉพาะเจาะจง โดยส่วนมากในช่วงแรกของการเกิดโรคแทบไม่พบอาการหรือแสดงอาการน้อยมาก ผู้ป่วยจึงไม่ทราบความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น แต่เมื่อตับถูกทำลายมากขึ้นจึงพบอาการที่ผิดปกติได้ดังต่อไปนี้
เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย
มีเลือดออกได้ง่าย
เกิดรอยช้ำหรือห้อเลือดได้ง่าย
คันตามผิวหนัง
ตัวเหลืองและตาเหลือง (ดีซ่าน)
อาการบวมตามอวัยวะต่าง ๆ เนื่องจากการสะสมของน้ำ เช่น ขาบวม ท้องมาน ข้อเท้าบวม
ไม่อยากอาหาร น้ำหนักลด
คลื่นไส้
เกิดเส้นเลือดฝอยมากผิดปกติตามตัว และฝ่ามือ
ลูกอัณฑะฝ่อและเล็กลง หรือหน้าอกขยายใหญ่ขึ้นในผู้ชาย
มีอาการทางสมองหรือสมองเสื่อม (Hepatic Encephalopathy) ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกสับสน เซื่องซึม และพูดไม่ชัด

หากผู้ป่วยพบความผิดปกติของร่างกายจากอาการข้างต้น ควรรีบไปพบแพทย์ เพื่อตรวจหาสาเหตุความผิดปกติของร่างกายที่พบ บางอาการอาจเป็นสัญญาณของโรคตับแข็งที่ทำให้การรักษาทำได้ง่ายขึ้นเมื่อตรวจพบในครั้งแรก ๆ แต่บางอาการก็อาจเป็นสัญญาณของโรคอื่น

สาเหตุของโรคตับแข็ง

โรคตับแข็งสามารถเกิดจากหลายสาเหตุ แต่สาเหตุที่ส่งผลต่อการทำงานของตับและนำไปสู่การเกิดโรคตับแข็งมากที่สุดมักมาจาก 3 สาเหตุ ดังนี้
การดื่มสุราที่มากเกินไปติดต่อกันนานหลายปี
โรคเรื้อรังจากการติดเชื้อของตับ โดยเฉพาะไวรัสตับอักเสบ บี และโรคไวรัสตับอักเสบ ซี (Hepatitis B และ C) ที่พบได้บ่อย
ภาวะไขมันพอกตับที่ไม่ได้มีสาเหตุมาจากแอลกอฮอล์ เช่น ภาวะไขมันพอกตับที่เกี่ยวข้องกับโรคอ้วนหรือโรคเบาหวาน

ส่วนสาเหตุรองที่อาจนำไปสู่โรคตับแข็งได้ เช่น
โรคอื่น ๆ ที่ทำให้เกิดภาวะท่อน้ำดีอุดตัน เช่น โรคบิลิอารีอะทรีเซีย (Biliary Atresia) ในทารกแรกเกิดที่ไม่มีท่อน้ำดีมาแต่กำเนิด โรคตับแข็งที่ไม่ทราบสาเหตุ (Primary Biliary Cirrhosis: PBC) ในผู้ใหญ่
การเกิดภาวะหัวใจล้มเหลวติดต่อกันหลายครั้งจนทำให้น้ำไหลเข้าตับ
โรคทางพันธุกรรม เช่น โรคซีสติกไฟโบรซีส หรือโรคหลอดลมพอง (Cystic Fibrosis) โรคพันธุกรรมเมตาบอลิกที่ไม่สามารถสะสมไกลโคลเจนไว้เป็นพลังงานในร่างกายได้ (Glycogen Storage Diseases) ถุงลมโป่งพองจากการขาดอัลฟ่า-1 (Alpha-1 Antitrypsin Deficiency)
โรคอื่น ๆ เช่น โรควิลสัน (Wilson’s Disease) ที่มีสาเหตุมาจากความผิดปกติของตับที่มีการสะสมทองแดงมากเกินไป ภาวะเหล็กเกินหรือฮีโมโครมาโตซิส (Hemochromatosis)
การรับประทานยาหรือสมุนไพรบางชนิดเป็นเวลานาน
การได้รับสารพิษ
การติดเชื้อปรสิต

การวินิจฉัยโรคตับแข็ง

โดยทั่วไปโรคตับแข็งในระยะแรกอาจไม่พบอาการผิดปกติของร่างกาย แต่บางรายอาจมีการตรวจพบโรคตับแข็งในหว่างการตรวจสุขภาพประจำปี แพทย์จะมีการตรวจเบื้องต้นด้วยการสอบถามประวัติทางการแพทย์ อาการผิดปกติที่พบ พฤติกรรมการดื่มสุรา และการตรวจร่างกายทั่วไปโดยการคลำดูขนาดและตำแหน่งของตับ เพื่อประเมินให้มีการตรวจพิเศษอื่น ๆ เพิ่มเติมตามดุลพินิจของแพทย์ เช่น
การตรวจเลือด เป็นการตรวจสารเคมีในเลือดเพื่อวัดประสิทธิภาพในการทำงานและความเสียหายที่เกิดขึ้นกับตับ โดยอาจมีการทดสอบดูในหลายส่วน เช่น ตรวจดูการแข็งตัวของเลือด ตรวจการทำงานของตับโดยดูค่าสารบิลิรูบิน (Bilirubin) ที่เกิดจากการแตกตัวของเซลล์เม็ดเลือดแดงหรือเอนไซม์บางชนิด ไปจนถึงการทดสอบหาโรคไวรัสตับอักเสบ บี และ ซี ด้วยการวัดเอนไซม์ 2 ตัว คือ SGOT (AST) และ SGPT(ALT) ซึ่งค่าที่ตรวจถ้าสูงกว่ามาตรฐานอาจบ่งบอกว่าเกิดการอักเสบของตับ เนื่องมาจากโรคไวรัสตับอักเสบหรือตับอักเสบจากสาเหตุอื่น ๆ รวมไปถึงตรวจการทำงานของไตจากการดูค่าครีเอตินิน (Creatinine) ซึ่งช่วยวัดค่าการทำงานของไตว่าอยู่ในระดับไหน หากมีระดับที่ลดลงอาจหมายถึงเริ่มมีอาการของโรคตับแข็งระยะสุดท้าย (Decompensated Cirrhosis)
การตรวจสแกนตับ เป็นการถ่ายภาพของตับด้วยการเอกซเรย์ เพื่อดูสภาพของเนื้อเยื่อว่าเกิดพังผืดหรือรอยแผลขึ้นหรือไม่ เช่น อัลตราซาวด์ (Ultrasound) เอกซเรย์คอมพิวเตอร์หรือซีที สแกน (CT Scan) การตรวจตับและม้ามด้วยรังสี (Radioisotope Liver/Spleen Scan) หรือไฟโบร สแกน (Fibro Scan)
การตัดชิ้นเนื้อไปตรวจ เป็นการนำตัวอย่างชิ้นเนื้อบางส่วนของเนื้อเยื่อตับที่ได้จากผู้ป่วยไปตรวจทางห้องปฏิบัติการ เพื่อช่วยยืนยันผลการวินิจฉัยของแพทย์และช่วยหาสาเหตุของโรคได้
การผ่าตัดผ่านกล้อง ในบางกรณีอาจต้องใช้การผ่าตัดส่องกล้องบริเวณช่องท้อง เพื่อให้เห็นตับทั้งหมดได้ชัดเจนมากขึ้น

การรักษาโรคตับแข็ง

โรคตับแข็งไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่เป็นการรักษาแบบประคับประคอง เพื่อไม่ให้ผู้ป่วยมีอาการแย่ลง และลดโอกาสการเกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง ทั้งนี้ วิธีการรักษาจะต้องดูตามสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคเป็นหลัก ในรายที่เป็นโรคในระยะที่รุนแรงแล้ว อาจจำเป็นต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล แต่ในบางรายอาจเป็นการควบคุมและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น
หยุดการดื่มแอลกอฮอล์ หากผู้ป่วยโรคตับแข็งที่มีสาเหตุมาจากการดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป ควรหยุดดื่มแอลกอฮอล์ทุกประเภท เพื่อไม่ให้เป็นปัจจัยไปกระตุ้นให้พัฒนามากยิ่งขึ้น แพทย์อาจมีการแนะนำให้เข้าร่วมโปรแกรมบำบัดฟื้นฟูผู้ติดสุราในบางราย หากไม่สามารถลดการดื่มแอลกอฮอล์ลงได้
รับประทานยาเพื่อช่วยควบคุมโรคไวรัสตับอักเสบ แพทย์จะมีการจ่ายยาประเภทสเตียรอยด์หรือยาต้านไวรัส เพื่อช่วยไม่ให้เซลล์ตับถูกทำลายมากขึ้น และลดจำนวนไวรัสลง
ลดน้ำหนัก ผู้ป่วยที่มีภาวะไขมันเกาะตับที่ไม่ได้มีสาเหตุมาจากการดื่มสุรา ควรมีการลดน้ำหนักลง เพื่อช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด

นอกจากนี้ ในผู้ป่วยที่มีอาการของโรคที่ไม่ได้มีสาเหตุเฉพาะเจาะจง แต่อาจเป็นอาการผิดปกติจากภาวะแทรกซ้อนของโรค แพทย์จะใช้ยาในการควบคุมอาการของโรคควบคู่กับการเปลี่ยนพฤติกรรม เช่น ภาวะการบวมน้ำ (Edema) ตามอวัยวะต่าง ๆ โดยให้รับประทานยาขับปัสสาวะ (Diuretics) เพื่อช่วยขับน้ำออกจากร่างกายและเลี่ยงการรับประทานเกลือที่มากเกินไป เพราะจะทำให้เกิดการบวมน้ำมากขึ้น หรือการรักษาภาวะเหล็กเกินด้วยการใช้ยาขับธาตุเหล็ก

หากผู้ป่วยที่เป็นโรคตับแข็งขั้นรุงแรงจนทำให้ไตทำงานได้น้อยลงมาก อันส่งผลให้เกิดโรคหรืออาการรุนแรง เช่น ตัวเหลือง ท้องมานรุนแรง มะเร็งตับ อาจจำเป็นต้องมีการปลูกถ่ายตับใหม่ที่ได้จากผู้บริจาคตับ และยังทำได้เฉพาะในคนที่แข็งแรงเท่านั้น

ภาวะแทรกซ้อนของโรคตับแข็ง

โรคตับแข็งอาจก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนขึ้นได้เมื่อโรคมีการพัฒนารุนแรงมากขึ้น เช่น
ภาวะเลือดออกในทางเดินอาหาร (Variceal Bleeding) เนื่องมาจากความดันในหลอดเลือดดำที่ไหลผ่านตับมีเพิ่มมากขึ้นในผู้ป่วยที่เป็นโรคตับแข็ง จึงอาจเกิดการอุดตันจนเส้นเลือดโป่งพองขึ้นได้ง่าย มีความเปราะ และเสี่ยงต่อการแตกจนทำให้มีเลือดออกอย่างรุนแรงในกระเพาะอาหารส่วนบนหรือหลอดอาหารได้
การบวมน้ำและท้องมาน (Edema & Ascites) เป็นภาวะที่มีการคั่งของน้ำและเกลือตามช่องว่างของเซลล์ต่าง ๆ จนทำให้ขาบวม หรืออาการท้องโต
มีอาการทางสมองจากโรคตับ (Hepatic Encephalopathy) มักเกิดกับผู้ป่วยที่เป็นโรคตับแข็งมาเป็นระยะเวลานาน เนื่องจากตับทำงานลดลงจนไม่สามารถกำจัดสารพิษออกจากลำไส้เล็กได้ จึงซึมกลับเข้าสู่กระแสเลือดจนส่งผลให้ผู้ป่วยอาจมีอาการสับสน ซึม มึนงง พูดไม่ชัด
อาการร้ายแรงอื่น ๆ เช่น ภาวะไตล้มเหลว ระดับออกซิเจนในเลือดลดลง โรคเบาหวาน เพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ ภาวะเลือดออกอย่างรุนแรง สูญเสียมวลกล้ามเนื้อ เต้านมขยายในผู้ชาย เข้าสู่วัยทองเร็วกว่าปกติ และอาจทำให้เสียชีวิตจากภาวะตับวายได้

การป้องกันโรคตับแข็ง

โรคตับแข็งป้องกันได้โดยลดโอกาสของการพัฒนาโรคด้วยการเลี่ยงปัจจัยที่เอื้อต่อการเกิดโรคให้มากที่สุด โดยเฉพาะการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ รวมไปถึงการดูแลสุขอนามัยพื้นฐานตามคำแนะนำต่อไปนี้
หลีกเลี่ยงหรือจำกัดการดื่มแอลกอฮอล์ที่เป็นปัจจัยหลักของการเกิดโรค โดยไม่ควรดื่มเกิน 14 หน่วยมาตรฐานต่อสัปดาห์ และควรกระจายปริมาณการดื่มไม่ให้มากเกินไปในแต่ละวัน
ฉีควัคซีนป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบ บี (ปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบ ซี)
สวมถุงยางอนามัยทุกครั้งก่อนมีเพศสัมพันธ์ และหลีกเลี่ยงการใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน เพื่อป้องกันการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี และ ซี
ควรมีการป้องกันตนเองก่อนการใช้หรือสัมผัสกับสารเคมีต่าง ๆ เช่น ยาฆ่าแมลง ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด
ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน เพื่อลดโอกาสของการเกิดภาวะไขมันพอกตับขึ้นจนนำไปสู่โรคได้
ควรระมัดระวังในการใช้สมุนไพรหรือเห็ดบางชนิด เพราะอาจส่งผลอันตรายต่อตับได้
หลีกเลี่ยงหรืองดการกินอาหารสุก ๆ ดิบ ๆ เนื่องจากอาจมีการปนเปื้อนของพยาธิใบไม้ในตับที่อาจเป็นสาเหตุของโรคตับตามมาได้


https://www.pobpad.com

สนใจสินค้านี้ สั่งซื้อราคาถูกพิเศษที่>>http://www.vitamin24hr.com
ถูกที่สุดทั่วไทย สินค้าบริษัท
แอดไลน์ที่>> http://line.me/ti/p/%40vitamin24hr
หรือ ไลน์ไอดี @vitamin24hr
****
วันนี้กดไลค์เพจเราและแชร์แบบสาธารณะ เพื่อลุ้นรับขนาดทดลอง จัดส่งถึงบ้าน ประกาศผลทุกสิ้นเดือนจ้า ^__^

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

www.True100percent.com โทร 092-6161666, 02-0027539 : LINE: @mox9486f

เวชสำอางค์ ให้คุณช้อปจนจุใจ