http://www.true100percent.com/

http://www.true100percent.com/
สั่งซื้อสินค้าอออนไลน์ ได้ง่ายๆ คลิกเลย^^ www.true100percent.com
atopalm atopiclair Beta-Curve Bio-oil BK MASK burnova cetaphil CG210 COLLA-L creatine activ Dermalis DERMALIS skincare dermatix Dr.Jill DYMABURN Ellgy eucerin EZERRA Gluta Mc Plus HAKUBI C Gel Helionof Himalaya hiruscar LA ROCHE LIPO8 MAXKIN MC PLUS mederma MEDMAKER Meiji Melloderm-HQ Neocell okamoto OMG Physiogel pico Preme SAND-M scagel scaresthetique scargel Smooth-E spectraban TOMEI Vistra vitara berich Zermix กระชับสัดส่วน กระตุ้นภูมิคุ้มกัน กันแดด ครีมบำรุงผิว เคล็ดลับสุขภาพดี เคล็ดลับหน้าขาวใส ช่วยนอนหลับ ที่ตรวจการตกไข่ ที่ตรวจครรภ์ใช้ง่าย ที่ตรวจยาบ้า บำรุงกระดูกและข้อต่อ บำรุงสุขภาพ ปากแห้ง ผมร่วง ผิวขาว ผิวแพ้ง่าย เพิ่มสมรรถภาพชาย มาส์กหน้าใส รักษาฝ้า รักษาสิว ลดน้ำหนัก ลบรอยแผลเป็น ลิปบาล์ม สมุนไพร กลูต้าไทโอน คอลลาเจน ตังถังเช่า ถังเช่า ถุงยางอนามัย ทับทิม เวย์โปรตีน AHA Aloe vera grape seed Urea อุปกรณ์การแพทย์ FOR MEN FOR WOMEN Review COSMETIC Review Vitamin

วันพฤหัสบดีที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2561

ความหมาย ถุงน้ำดีอักเสบ


ความหมาย ถุงน้ำดีอักเสบ


ถุงน้ำดีอักเสบ (Choleycystitis) คือ ภาวะที่เกิดการอักเสบของถุงน้ำดีซึ่งเป็นอวัยวะช่วยย่อยอาหาร มีขนาดเล็กคล้ายลูกแพร์ อยู่บริเวณท้องด้านขวาใกล้ตับ ตามปกติแล้ว น้ำดีช่วยในการย่อยอาหาร โดยเฉพาะสารอาหารจำพวกไขมัน น้ำดีจะไหลผ่านถุงน้ำดีไปยังลำไส้เล็ก หากเกิดการอุดตันของน้ำดี จะส่งผลให้ถุงน้ำดีบวม อักเสบ และเกิดอาการปวดได้ การอุดตันของน้ำดีมักมีสาเหตุมาจากนิ่วอุดตันในท่อถุงน้ำดี รวมไปถึงปัญหาเกี่ยวกับท่อน้ำดีและเนื้องอกอื่น ๆ



ถุงน้ำดีอักเสบจัดเป็นปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรง ส่วนใหญ่แล้ว ผู้ป่วยโรคนี้จำเป็นต้องได้รับการรักษาทันที เนื่องจากถุงน้ำดีอักเสบอาจกลายเป็นปัญหาสุขภาพเรื้อรังได้หากไม่เข้ารับการรักษาหรือปรากฏอาการอักเสบซ้ำอีกครั้ง ทั้งนี้ ผู้ป่วยที่ไม่เข้ารับการรักษาให้หาย อาจเสี่ยงเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น ถุงน้ำดีแตก ซึ่งร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้

อาการของถุงน้ำดีอักเสบ

ถุงน้ำดีอักเสบเกิดจากนิ่วอุดตันในท่อถุงน้ำดี ส่งผลให้น้ำดีไหลผ่านไปยังลำไส้เล็กไม่ได้ เมื่อน้ำดีอยู่ภายในถุงน้ำดีมากเกินไป จะยิ่งเพิ่มแรงดันภายในถุงน้ำดี ก่อให้เกิดอาการบวมและอักเสบ ผู้ป่วยถุงน้ำดีอักเสบจะปรากฏอาการของโรค ดังนี้
ปวดบริเวณท้องส่วนบนด้านขวาหรือตรงกลาง ซึ่งมักปวดไม่น้อยกว่า 30 นาที โดยผู้ป่วยจะรู้สึกปวดเสียด ปวดบีบ หรือปวดตุบ ๆ บริเวณดังกล่าว
อาการปวดท้อง ปวดร้าวไปที่หลังหรือบริเวณใต้สะบักด้านขวา
อาการปวดแย่ลงเมื่อหายใจลึก ๆ
เกิดอาการปวดท้องหลังรับประทานอาหาร โดยเฉพาะหลังรับประทานอาหารในปริมาณมาก หรือรับประทานอาหารที่มีไขมันเยอะ
รู้สึกระบมที่ท้องด้านขวา ทั้งนี้ เมื่อกดบริเวณท้องจะปวดมาก และอุจจาระออกสีเทาคล้ายดินโคลน
ท้องอืด
มีไข้ขึ้นสูง
คลื่นไส้และอาเจียน
เหงื่อออก
เบื่ออาหาร
ผิวและตาขาวมีสีเหลืองคล้ายดีซ่าน

ทั้งนี้ ผู้ป่วยที่เกิดอาการปวดท้องเฉียบพลันอย่างรุนแรง โดยเกิดอาการนานหลายชั่วโมงหรือมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น ตัวเหลืองคล้ายดีซ่าน หรือไข้ขึ้น ควรรีบพบแพทย์ทันที เนื่องจากโรคถุงน้ำดีอักเสบควรได้รับการตรวจเพื่อวินิจฉัยโรคและรักษาอย่างเร่งด่วน เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ



สาเหตุถุงน้ำดีอักเสบ

ถุงน้ำดีอักเสบเป็นปัญหาสุขภาพที่เกิดจากการอักเสบของอวัยวะดังกล่าว ซึ่งสาเหตุที่ทำให้เกิดการอักเสบแบ่งได้คือ ถุงน้ำดีอักเสบที่เกิดจากนิ่ว และถุงน้ำดีอักเสบจากสาเหตุอื่น ดังนี้
ถุงน้ำดีอักเสบที่เกิดจากนิ่ว (Calculous Cholecystitis) นิ่วในถุงน้ำดีจัดเป็นสาเหตุที่พบได้มากที่สุด โดยผู้ป่วยร้อยละ 95 เป็นโรคนี้จากนิ่วในถุงน้ำดี ทั้งนี้ นิ่วในถุงน้ำดีเกิดจากการสะสมของไขมันและเกลือที่อยู่ในน้ำดี โดยนิ่วจะเข้าไปอุดตันในท่อถุงน้ำดี ทำให้น้ำดีไม่สามารถไหลผ่านได้และสะสมอยู่ภายในถุงน้ำดี ส่งผลให้ถุงน้ำดีบวมและเกิดการอักเสบ ทั้งนี้ ผู้ป่วยประมาณ 1 ใน 5 ยังติดเชื้อแบคทีเรียร่วมด้วย
ถุงน้ำดีอักเสบจากสาเหตุอื่น (Acalculous Cholecystitis) สาเหตุอื่น ๆ ที่ทำให้เกิดการอักเสบที่ถุงน้ำดีพบได้ไม่บ่อยนัก แต่มักเป็นสาเหตุที่ร้ายแรงกว่านิ่วในถุงน้ำดี และพบภาวะแทรกซ้อนตามมามากกว่า โดยสาเหตุอื่น ๆ ประกอบด้วย
ประสบภาวะแทรกซ้อนจากปัญหาสุขภาพอื่น เช่น เบาหวาน หรือติดเชื้อเอชไอวี ซึ่งส่งผลให้ถุงน้ำดีบวม
เกิดเนื้องอกที่ตับหรือตับอ่อน โดยเนื้องอกจะกั้นไม่ให้น้ำดีไหลออกจากถุงน้ำดี ส่งผลให้น้ำดีขังอยู่ภายในถุงน้ำดี และเกิดการอักเสบได้
ติดเชื้อในกระแสเลือด
เลือดไหลไปเลี้ยงถุงน้ำดีได้น้อย ซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนของการผ่าตัดใหญ่
ได้รับบาดเจ็บจากการประสบอุบัติเหตุ

การวินิจฉัยถุงน้ำดีอักเสบ



ผู้ป่วยถุงน้ำดีอักเสบจะได้รับการตรวจเพื่อวินิจฉัยโรค โดยแพทย์จะสอบถามอาการ ประวัติการรักษา และตรวจร่างกายผู้ป่วย แพทย์จะตรวจท้องส่วนบนด้านขวาว่าบวมหรือกดเจ็บหรือไม่ นอกจากนี้ แพทย์จะตรวจอย่างอื่นเพิ่มเติม ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้
ตรวจเลือด แพทย์จะเจาะเลือดผู้ป่วย เพื่อดูการทำงานของตับอ่อน เช่น เอนไซม์อะไมเลส (Amylase) เอนไซม์ลิเพส (Lipase) ความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด (Complete Blood Count: CBC) และการทำงานของตับ รวมทั้งตรวจหาการติดเชื้อหรือสัญญาณของปัญหาสุขภาพที่เกี่ยวกับถุงน้ำดี
ตรวจด้วยภาพสแกน การตรวจถุงน้ำดีด้วยภาพสแแกนประกอบด้วยการตรวจหลายประเภท ดังนี้
อัลตราซาวด์ แพทย์จะอัลตราซาวด์ท้องผู้ป่วย เพื่อดูว่าภายในถุงน้ำดีมีก้อนนิ่ว เยื่อบุหนาที่ถุงน้ำดี ปริมาณน้ำดีที่มากเกินไป หรือสัญญาณอื่น ๆ ของถุงน้ำดีอักเสบ ปรากฏหรือไม่ โดยการอัลตราซาวด์ท้องจะช่วยให้แพทย์ตรวจขนาดและรูปร่างของถุงน้ำดีผู้ป่วยได้ อีกทั้งยังเป็นวิธีในการวินิจฉัยถุงน้ำดีที่พบได้ทั่วไป
ตรวจสแกนตับและถุงน้ำดี (Hepatobiliary Iminodiacetic Acid Scan: HIDA Scan)แพทย์จะตรวจลำไส้เล็กส่วนบน ถุงน้ำดี และท่อน้ำดี โดยการตรวจนี้จะช่วยแสดงภาพการผลิตและไหลเวียนของน้ำดีจากตับไปยังลำไส้เล็ก รวมทั้งปัญหาการอุดตันของน้ำดี ผู้ป่วยจะได้รับการฉีดสารทึบรังสีเข้าไปภายในร่างกาย ซึ่งสารทึบรังสีจะผสมกับเซลล์ที่ผลิตน้ำดี ทำให้เห็นภาพการไหลเวียนของน้ำดีในท่อน้ำดีได้
ตรวจอื่น ๆ แพทย์อาจให้ผู้ป่วยตรวจอย่างอื่นร่วมด้วย เช่น เอกซเรย์ ทำเอกซเรย์คอมพิวเตอร์หรือซีทีสแกน (Computerized Tomography Scan: CT scan) ทำเอกซเรย์คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าหรือเอ็มอาร์ไอ (Magnetic Resonance Imaging: MRI) การตรวจเหล่านี้จะช่วยให้แพทย์วินิจฉัยปัญหาถุงน้ำดีได้มากขึ้น

การรักษาถุงน้ำดีอักเสบ



ผู้ป่วยที่เข้ารับการตรวจและวินิจฉัยว่าป่วยเป็นถุงน้ำดีอักเสบ จำเป็นต้องเข้ารับการรักษาโดยด่วน ผู้ป่วยต้องพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล โดยแพทย์จะคอยดูแลอาการอักเสบของถุงน้ำดีและอาการป่วยอื่น ๆ การรักษาถุงน้ำดีอักเสบประกอบด้วยการรักษาเบื้องต้นและการผ่าตัด ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้
การรักษาเบื้องต้น แพทย์จะไม่อนุญาตให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำ เพื่อลดการบีบตัวของหูรูดที่ถุงน้ำดี ลดการระบายสารต่าง ๆ ออกมา รวมทั้งช่วยให้ถุงน้ำดีไม่ทำงานหนัก อย่างไรก็ตาม แพทย์จะเจาะหลอดเลือดดำให้น้ำเกลือทีละหยดแก่ผู้ป่วย เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ รวมทั้งให้ยาแก้ปวดผ่านทางหลอดเลือดดำ เพื่อบรรเทาอาการปวดจากการอักเสบให้ทุเลาลง ส่วนผู้ป่วยที่เกิดการติดเชื้อที่ถุงน้ำดี จะได้รับยาปฏิชีวนะรักษาร่วมด้วย ผู้ป่วยจำเป็นต้องเข้ารับการรักษาเบื้องต้นติดต่อกันหลายสัปดาห์ ซึ่งระหว่างที่รับการรักษาอาจอยู่จะที่โรงพยาบาลหรือกลับไปพักรักษาต่อที่บ้าน เมื่ออาการดีขึ้น การรักษาถุงน้ำดีอักเสบในขั้นต้นนี้จะช่วยให้ก้อนนิ่วที่อุดตันหลุดออกมาได้ในบางครั้ง รวมทั้งไม่ทำให้อาการอักเสบแย่ลง
การผ่าตัด ผู้ป่วยถุงน้ำดีอักเสบจำเป็นต้องเข้ารับการผ่าตัดทันทีในกรณีที่เกิดการอักเสบซ้ำ หรือประสบภาวะแทรกซ้อนอื่น ได้แก่ เนื้อเยื่อตาย (Gangrene) ถุงน้ำดีทะลุ ตับอ่อนอักเสบ เกิดการอุดตันที่ท่อน้ำดี หรือท่อน้ำดีอักเสบ หากเกิดอาการป่วยรุนแรง ผู้ป่วยจะได้รับการใส่ท่อผ่านหน้าท้องเข้าไปที่ถุงน้ำดี เพื่อระบายน้ำดีที่อุดตันออกมา ทั้งนี้ การผ่าตัดถุงน้ำดีใช้เวลาผ่าตัดแตกต่างกันไปตามระดับความรุนแรงของอาการป่วยและแนวโน้มความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นระหว่างและหลังผ่าตัด ผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงต่ำจะได้เข้ารับการผ่าตัดภายใน 48 ชั่วโมง ระหว่างพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล หรือช่วงที่รอให้อาการอักเสบลดลงซึ่งใช้เวลาประมาณ 2-3 สัปดาห์ การผ่าตัดถุงน้ำดีอักเสบมีเทคนิคในการผ่าตัดที่แตกต่างกัน ได้แก่ การผ่าตัดแบบส่องกล้อง และการผ่าตัดแบบเปิดหน้าท้อง ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้
การผ่าตัดแบบส่องกล้อง การผ่าตัดด้วยเทคนิคนี้มักนิยมใช้ผ่าตัดถุงน้ำดีอักเสบมากที่สุด โดยแพทย์จะผ่าท้องผู้ป่วยให้มีบาดแผลเพียงเล็กน้อย ซึ่งจะผ่าหลายแห่ง และสอดกล้องขนาดเล็กเข้าไปที่รอยผ่ารอยหนึ่ง เพื่อให้มองเห็นถุงน้ำดีและควบคุมการผ่าตัดได้ และสอดอุปกรณ์ผ่าตัดเข้าไปยังรอยแผลอื่น ๆ เพื่อผ่าตัดผู้ป่วย
การผ่าตัดแบบเปิดหน้าท้อง แพทย์จะผ่าเปิดหน้าท้องผู้ป่วยเป็นรอยผ่าขนาดใหญ่ เพื่อผ่าตัดนำถุงน้ำดีออกมา อย่างไรก็ตาม การผ่าตัดด้วยเทคนิคนี้มักไม่ค่อยใช้ผ่าตัดผู้ป่วยบ่อยนัก

ผู้ป่วยที่ผ่าตัดถุงน้ำดีออกไปสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ โดยไม่ได้รับผลกระทบระยะยาวจากการผ่าตัด อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยอาจได้รับผลข้างเคียงขณะพักฟื้นตัว ซึ่งเป็นผลข้างเคียงชั่วคราวเท่านั้น ผลข้างเคียงจากการผ่าตัดถุงน้ำดีอักเสบที่พบได้ทั่วไป มีดังนี้
เกิดอาการบวม ฟกช้ำ และปวดแผลประมาณ 2-3 วัน ผู้ป่วยจะได้รับยาแก้ปวด เพื่อช่วยบรรเทาอาการ
รู้สึกไม่สบาย ซึ่งเป็นผลจากการได้รับยาสลบหรือยาแก้ปวด
ปวดท้องและไหล่ เนื่องจากเกิดแก๊สในท้อง ผู้ป่วยควรรับประทานยาแก้ปวด เพื่อบรรเทาอาการไม่สบายท้อง
ท้องอืด ท้องร่วง และมีลมในท้อง ซึ่งจะเกิดอาการดังกล่าวประมาณ 2-3 สัปดาห์ ผู้ป่วยควรรับประทานอาหารที่มีเส้นใยสูงและรับประทานยาตามแพทย์สั่ง เพื่อลดอาการถ่ายเหลว

นอกจากนี้ ผู้ป่วยควรไปตัดไหมหลังผ่าตัดแล้วไม่เกิน 7-10 วัน ในกรณีที่แพทย์ใช้ไหมชนิดที่ไม่สลายเย็บแผลผ่าตัดให้ ระหว่างพักรักษาตัว ผู้ป่วยดูแลตัวเองได้ ดังนี้
รับประทานอาหารตามปกติ โดยเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และครบถ้วนทุกมื้อ
ออกกำลังกายเบา ๆ ตามเหมาะสม เช่น ออกกำลังกายด้วยการเดิน ไม่ควรหักโหมจนเกินไป รวมทั้งปรึกษาแพทย์เมื่อต้องการกลับไปออกกำลังกายที่ต้องออกแรงมาก
ควรขับรถหลังผ่านไป 1 สัปดาห์ ลองดูว่าตนเองสามารถคาดเข็มขัดและขับรถได้อย่างปลอดภัยโดยไม่เกิดอาการกลัวเมื่อต้องขับจริง

ภาวะแทรกซ้อนของถุงน้ำดีอักเสบ



ผู้ป่วยถุงน้ำดีอักเสบที่เข้ารับการรักษาช้า หรือไม่ได้รับการรักษา อาจประสบภาวะแทรกซ้อนหลายอย่าง ซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ โดยภาวะแทรกซ้อนของถุงน้ำดี มีดังนี้
ติดเชื้อที่ถุงน้ำดี การอุดตันของน้ำดีภายในถุงน้ำดีส่งผลให้ถุงน้ำดีอักเสบ ทั้งนี้อาจทำให้ถุงน้ำดีเกิดการติดเชื้อ มีหนอง และอาจเกิดภาวะเยื่อบุช่องท้องอักเสบ (Peritonitis)
เนื้อเยื่อในถุงน้ำดีตาย (Gangrene) ผู้ป่วยที่ไม่ได้รับการรักษาให้หาย อาจประสบภาวะเนื้อเยื่อในถุงน้ำดีตาย โดยภาวะดังกล่าวอาจทำให้ถุงน้ำดีทะลุ หรือเกิดภาวะถุงน้ำดีแตกได้ ทั้งนี้ ภาวะเนื้อเยื่อในถุงน้ำดีตายจะก่อให้เกิดการติดเชื้อร้ายแรง ซึ่งแพร่กระจายไปทั่วร่างกาย
ถุงน้ำดีทะลุ ผู้ป่วยที่ติดเชื้อตรงถุงน้ำดี หรือถุงน้ำดีบวมโตจนมีขนาดใหญ่มาก มีโอกาสเสี่ยงถุงน้ำดีทะลุได้ หากผู้ป่วยประสบภาวะถุงน้ำดีทะลุอาจเกิดการติดเชื้อภายในท้องหรือภาวะเยื่อบุช่องท้องอักเสบ รวมทั้งทำให้เกิดหนองและกลายเป็นฝี
ตับอ่อนอักเสบ ผู้ป่วยที่ไม่ได้รับการรักษาถุงน้ำดี จะประสบภาวะแทรกซ้อนโดยป่วยเป็นตับอ่อนอักเสบได้
มะเร็งถุงน้ำดี โรคนี้ถือเป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบได้ไม่บ่อยนัก ซึ่งคิดเป็น 1 ในหนึ่ง 10,000 คน ผู้ป่วยที่มีประวัติป่วยเป็นนิ่วในถุงน้ำดีเสี่ยงเกิดมะเร็งถุงน้ำดีได้สูง โดยผู้ป่วยจะเกิดอาการของโรคคล้ายปัญหาเกี่ยวกับถุงน้ำดีอื่น ๆ ได้แก่ ปวดท้อง ไข้ขึ้นสูงประมาณ 38 องศาเซลเซียสหรือมากกว่านั้น รวมทั้งตัวเหลืองคล้ายเป็นดีซ่าน ผู้ป่วยมะเร็งถุงน้ำดีจะได้รับการรักษาด้วยการทำเคมีบำบัดและฉายรังสี

การป้องกันถุงน้ำดีอักเสบ



ถุงน้ำดีอักเสบไม่สามารถป้องกันได้อย่างเต็มที่ แต่ป้องกันนิ่วในถุงน้ำดีอันเป็นสาเหตุของโรค เพื่อลดโอกาสเสี่ยงป่วยเป็นถุงน้ำดีอักเสบได้ วิธีลดความเสี่ยงดังกล่าวทำได้ ดังนี้
ลดน้ำหนัก ผู้ที่มีน้ำหนักตัวมากเกินไปเสี่ยงเกิดนิ่วในถุงน้ำดีได้สูง เนื่องจากปริมาณคอเลสเตอรอลในน้ำดีมีมากขึ้น ส่งผลให้เกิดก้อนนิ่ว จึงควรลดน้ำหนักตัวเพื่อลดโอกาสเกิดนิ่วในถุงน้ำดี โดยค่อย ๆ ลด ตั้งเป้าลดน้ำหนักสัปดาห์ละ 0.5-1 กิโลกรัม ไม่ควรหักโหมลดน้ำหนักอย่างรวดเร็ว ซึ่งจะส่งผลต่อสารเคมีในร่างกาย และกระตุ้นให้เกิดก้อนนิ่วได้เช่นกัน
รักษาน้ำหนักตัว ควรรักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน ไม่อ้วนหรือผอมจนเกินไป โดยเลือกรับประทานอาหารให้สมดุลและออกกำลังกายอย่างเหมาะสม ลดปริมาณพลังงานของอาหารที่รับประทานให้พอเหมาะ รวมทั้งทำกิจกรรมที่ได้เคลื่อนไหวร่างกายอย่างสม่ำเสมอ
รับประทานอาหารที่ดี ควรเลือกรับประทานอาหารที่มีเส้นใยสูง เช่น ผัก ผลไม้ และธัญพืชต่าง ๆ เนื่องจากอาหารที่อุดมไปด้วยไขมันและมีกากใยต่ำจะทำให้เสี่ยงเกิดนิ่วในถุงน้ำดี
หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ ดื่มให้น้อยลง อาจช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดนิ่วในถุงน้ำดีได้


https://www.pobpad.com

สนใจสินค้านี้ สั่งซื้อราคาถูกพิเศษที่>>http://www.vitamin24hr.com
ถูกที่สุดทั่วไทย สินค้าบริษัท
แอดไลน์ที่>> http://line.me/ti/p/%40vitamin24hr
หรือ ไลน์ไอดี @vitamin24hr
****
วันนี้กดไลค์เพจเราและแชร์แบบสาธารณะ เพื่อลุ้นรับขนาดทดลอง จัดส่งถึงบ้าน ประกาศผลทุกสิ้นเดือนจ้า ^__^

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

www.True100percent.com โทร 092-6161666, 02-0027539 : LINE: @mox9486f

เวชสำอางค์ ให้คุณช้อปจนจุใจ