http://www.true100percent.com/

http://www.true100percent.com/
สั่งซื้อสินค้าอออนไลน์ ได้ง่ายๆ คลิกเลย^^ www.true100percent.com
atopalm atopiclair Beta-Curve Bio-oil BK MASK burnova cetaphil CG210 COLLA-L creatine activ Dermalis DERMALIS skincare dermatix Dr.Jill DYMABURN Ellgy eucerin EZERRA Gluta Mc Plus HAKUBI C Gel Helionof Himalaya hiruscar LA ROCHE LIPO8 MAXKIN MC PLUS mederma MEDMAKER Meiji Melloderm-HQ Neocell okamoto OMG Physiogel pico Preme SAND-M scagel scaresthetique scargel Smooth-E spectraban TOMEI Vistra vitara berich Zermix กระชับสัดส่วน กระตุ้นภูมิคุ้มกัน กันแดด ครีมบำรุงผิว เคล็ดลับสุขภาพดี เคล็ดลับหน้าขาวใส ช่วยนอนหลับ ที่ตรวจการตกไข่ ที่ตรวจครรภ์ใช้ง่าย ที่ตรวจยาบ้า บำรุงกระดูกและข้อต่อ บำรุงสุขภาพ ปากแห้ง ผมร่วง ผิวขาว ผิวแพ้ง่าย เพิ่มสมรรถภาพชาย มาส์กหน้าใส รักษาฝ้า รักษาสิว ลดน้ำหนัก ลบรอยแผลเป็น ลิปบาล์ม สมุนไพร กลูต้าไทโอน คอลลาเจน ตังถังเช่า ถังเช่า ถุงยางอนามัย ทับทิม เวย์โปรตีน AHA Aloe vera grape seed Urea อุปกรณ์การแพทย์ FOR MEN FOR WOMEN Review COSMETIC Review Vitamin

วันพฤหัสบดีที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2561

ความหมาย ต้อหิน


ความหมาย ต้อหิน


ต้อหิน (Glaucoma) เป็นโรคของดวงตาชนิดหนึ่งที่เกิดจากความเสื่อมของเส้นประสาทตา หรือเส้นประสาทตาถูกทำลาย โดยเป็นเส้นประสาทที่เชื่อมระหว่างตากับสมอง ปัจจัยหลักมาจากความดันในลูกตาสูง ซึ่งเกิดจากการระบายน้ำออกของลูกตามีการอุดตันและเสื่อมสภาพ ทำให้ระบายน้ำออกจากลูกตาได้ไม่ดีพอ ส่งผลให้ความดันภายในลูกตาเพิ่มขึ้นอย่างช้า ๆ จนทำลายประสาทตาในที่สุด



ต้อหินสามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศทุกวัย และมีอุบัติการณ์เพิ่มขึ้นตามอายุ แต่จะเกิดขึ้นบ่อยในผู้สูงอายุ โดยเฉพาะในผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป ผู้ที่มีประวัติของคนในครอบครัวเป็นต้อหิน หรือผู้ที่ป่วยเป็นโรคเบาหวาน เป็นต้น นอกจากนั้น องค์กรอนามัยโลก (WHO) ยังระบุว่า ต้อหินเป็นสาเหตุสำคัญของการสูญเสียการมองเห็นของคนทั่วโลกเป็นอันดับ 2 รองจากต้อกระจก พบผู้ป่วยโรคต้อหินทั่วโลกถึง 70 ล้านคน โดยเกือบ 10% ของผู้ป่วยหรือประมาณ 6.7 ล้านคน ต้องตาบอด หรือสูญเสียการมองเห็นอย่างสิ้นเชิง ในประเทศไทย ข้อมูลจากสถิติสาธารณสุข ปี 2555 พบผู้ป่วยโรคต้อหินทั่วประเทศ จำนวน 17,687 ราย

ถึงแม้ว่าต้อหินจะเป็นโรคที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่ก็สามารถป้องกันและควบคุมการสูญเสียของการมองเห็นได้

อาการของต้อหิน

โดยทั่วไป ต้อหินจะไม่มีอาการ หรือสัญญาณปรากฏเด่นชัดในตอนแรก และจะเกิดอาการแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับชนิดของต้อหิน ดังนี้

ต้อหินมุมเปิด (Open-angle Glaucoma)
เป็นต้อหินชนิดที่พบได้บ่อยที่สุด เกิดจากการไหลเวียนของน้ำในลูกตาลดลง ไม่ทราบกลไกที่แน่นอน สันนิษฐานว่าเกิดจากความเสื่อมของช่องระบายน้ำออกจากลูกตา ส่งผลให้น้ำในลูกตาไม่สามารถไหลเวียนออกได้อย่างปกติ ทำให้เกิดความดันในลูกตาสูงจนส่งผลให้ประสาทตาถูกทำลาย
ส่วนมากจะไม่มีอาการแสดงในระยะแรก แต่ถ้าไม่ได้รับการรักษาในระยะเริ่มต้นจะส่งผลให้สูญเสียการมองเห็นอย่างช้า ๆ ตามัวลงเล็กน้อยคล้ายมีหมอกมาบังทางด้านข้าง ซึ่งนำไปสู่การตาบอดในที่สุด ผู้ป่วยมักไม่รู้ตัว ยกเว้นคนที่มีการสังเกตค่อนข้างดี

ต้อหินมุมปิด (Angle-closure Glaucoma)
เป็นต้อหินที่พบได้น้อยกว่าต้อหินมุมเปิด อาการจะเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว เพราะโครงสร้างในการระบายน้ำออกจากลูกตามีการอุดตันอย่างทันทีทันใด ซึ่งที่มุมตาจะมีเนื้อเยื่อลักษณะคล้ายตะแกรงที่เรียกว่า trabecular meshwork เป็นทางผ่านของน้ำในลูกตา เมื่อเกิดการอุดตันขึ้น จึงทำให้เกิดความดันในลูกตาสูงตามมาจนส่งผลให้ประสาทตาถูกทำลาย
อาการที่จะเกิดขึ้นได้ คือ ปวดศีรษะ ตาแดง ตามัว เห็นแสงรุ้งรอบดวงไฟ และคลื่นไส้ อาเจียน
ในกรณีที่เกิดขึ้นเฉียบพลันจะมีอาการปวดตา หรือปวดศีรษะข้างเดียวกับตา

ต้อหินตั้งแต่กำเนิด หรือกรรมพันธ์ุ (Congenital Glaucoma)
เกิดในทารก หรือเด็ก อาการมักรุนแรงและควบคุมโรคได้ยาก หากไม่ได้รับการรักษาตั้งแต่ระยะแรกอาจพัฒนาไปจนทำให้ตาบอดได้ การตรวจหาโรคอาจทำได้ยากแต่สามารถสังเกตพฤติกรรมของเด็กและสังเกตทางกายภาพได้ เช่น
มีดวงตาที่ใหญ่กว่าคนปกติ
ไม่ชอบแสงสว่างจ้า
ไม่สามารถควบคุมการกระพริบตาได้
มีตาแดง ตาแฉะ หรือตาขุ่นมัว
ขยี้ตาบ่อย ๆ


ต้อหินชนิดแทรกซ้อน (Secondary Glaucoma)
อาจเกิดมาจากภาวะแทรกซ้อนจากความผิดปกติทางตา หรือเกิดจากโรคตาอื่น ๆ เช่น ได้รับบาดเจ็บ หรือเกิดอุบัติเหตุที่ตา มีเนื้องอก หรือใช้สเตียรอยด์เป็นเวลานาน ทำให้พัฒนามาเป็นต้อหิน

สาเหตุของต้อหิน

ในตาของเรานั้นจะมีน้ำหล่อเลี้ยงที่เรียกว่า aqueous humor ซึ่งถูกผลิตขึ้นโดยเนื้อเยื้อที่เรียกว่า ciliary body โดยน้ำหล่อเลี้ยงที่ถูกสร้างขึ้นมาจะไหลเวียนสู่ช่องหน้าลูกตา (anterior chamber) ทำหน้าที่หล่อเลี้ยงเลนส์ กระจกตา และหลังจากนั้นจะถูกดูดซึมผ่านออกจากลูกตาไปทางมุมตา (angle) โดยมุมตาจะมีโครงสร้างลักษณะคล้ายตะแกรง ที่เรียกว่า trabecular meshwork ซึ่งจะอยู่บริเวณขอบของม่านตา เมื่อน้ำหล่อเลี้ยงตาที่ผลิตขึ้น และการระบายออกของน้ำในตามีความสมดุล ก็จะทำให้ความดันตาอยู่ในระดับปกติ

ต้อหินมีสาเหตุมาจากจอประสาทตามีความเสื่อมหรือถูกทำลาย โดยประสาทตาจะเสื่อมลงทีละน้อย และเกิดจุดบอดขึ้นที่ลานสายตา มักมีสาเหตุสำคัญมาจากความดันในตาสูงอันเนื่องมาจากการไหลเวียนเข้าและออกของน้ำหล่อเลี้ยงในลูกตาไม่สมดุล เกิดการอุดตันบริเวณทางออกของช่องระบายน้ำหล่อเลี้ยงลูกตา ซึ่งทำให้มีการสร้างน้ำหล่อเลี้ยงลูกตามากขึ้นแต่การไหลออกช้าลง ทำให้ความดันในตาสูงขึ้น อาจเกิดขึ้นอย่างช้า ๆ หรือเฉียบพลัน ขึ้นอยู่กับชนิดของโรคต้อหิน

ปัจจัยความเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคต้อหิน อาจประกอบไปด้วย
ต้อหินชนิดปฐมภูมิ หรือต้อหินทั่วไปที่ไม่ทราบสาเหตุ โดยจะเกี่ยวข้องกับกรรมพันธุ์ อาจมีประวัติของคนในครอบครัวเป็นต้อหิน นอกจากนี้ยังพบในคนสายตาสั้นหรือยาวมาก ๆ คนที่เป็นเบาหวานและผู้สูงอายุ
ต้อหินที่มีสาเหตุเกี่ยวเนื่องจากสาเหตุอื่น เช่น ภาวะเบาหวานขึ้นตา เกิดอุบัติเหตุทางตา มีการติดเชื้อหรือการอักเสบในตา มีการใช้ยากลุ่มสเตียรอยด์เป็นเวลานาน รวมไปถึงโรคต้อกระจกที่ปล่อยทิ้งไว้จนสุก
ตรวจพบว่ามีความดันตาสูง ซึ่งค่าความดันตาปกติจะอยู่ที่ 12-20 มิลลิเมตรปรอท

การวินิจฉัยต้อหิน

แพทย์จะทำการตรวจวินิจฉัยโรคต้อหินจากประวัติทางการแพทย์ และตรวจสุขภาพตาอย่างละเอียด ซึ่งแพทย์จะทำการตรวจดังต่อไปนี้
ตรวจความดันลูกตา (Tonometry) โดยแพทย์จะหยอดยาชาที่ตาก่อนแล้วจึงใช้เครื่องมือที่เรียกว่า โทโนมิเตอร์ (Tonometer) เพื่อใช้วัดความดันในลูกตา โดยความดันตามีค่าปกติอยู่ที่ 12-20 มิลลิเมตรปรอท ซึ่งหากความดันตาสูงกว่า 21 มิลลิเมตรปรอท แสดงว่าผิดปกติ
ตรวจประสาทตาและจอรับภาพ ตรวจด้วยเครื่องมือตรวจนัยน์ตา ออพธัลโมสโคป (Ophthalmoscopy) เป็นการใช้เครื่องมือตรวจส่องภายในลูกตา ให้แพทย์เห็นถึงความเสียหายหรือความเสื่อมของจอประสาทตา ช่วยให้แพทย์มองเห็นเข้าไปในตา สามารถวินิจฉัยรูปร่างและสีของจอประสาทตาได้
การวัดประสิทธิภาพของลานสายตา (Visual Field Testing) ตรวจโดยใช้เครื่องตรวจวัดลานสายตา สามารถตรวจวิเคราะห์ลานสายตาด้วยการฉายแสงให้เป็นจุดไปยังตำแหน่งต่าง ๆ เครื่องสามารถตรวจดูการเคลื่อนไหวของตาและวิเคราะห์ข้อมูลด้วยโปรแกรมภายในเครื่อง แสดงผลการตรวจออกมาได้อย่างแม่นยำและช่วยให้สามารถวินิจฉัยการเกิดต้อหินได้
การวัดความหนาของกระจกตา (Pachymetry) ตรวจด้วยเครื่องวัดความหนาของกระจกตาที่เรียกกันว่า Corneal Pachymetry โดยการวัดความหนาของกระจกตาสามารถนำมาช่วยประเมินค่าความดันตาที่วัดได้อย่างแม่นยำขึ้น เนื่องจากความหนาและบางของกระจกตามีผลต่อการวัดความดันของกระจกตา
การตรวจช่องทางการไหลของน้ำหล่อเลี้ยงในลูกตา ด้วยเครื่องตรวจดูภายในลูกตา Gonioscopy เป็นการตรวจเพื่อหาว่าเป็นต้อหินชนิดมุมเปิดหรือมุมปิด ซึ่งสามารถตรวจดูในทิศทางต่าง ๆ เพื่อดูมุมของการระบายของเหลว และพื้นที่ส่วนที่ทำหน้าที่ระบายของเหลวจากตา

การรักษาต้อหิน

เส้นประสาทตาของผู้ที่เป็นโรคต้อหินจะถูกทำลายอย่างถาวร การรักษาจึงเป็นการประคับประคองเพื่อไม่ให้ประสาทตาถูกทำลายมากขึ้น และเพื่อคงการมองเห็นที่มีอยู่ให้นานที่สุด ซึ่งการรักษาจะขึ้นอยู่กับชนิดของโรคต้อหินและระยะของโรคที่เป็นอยู่

เป้าหมายการรักษาต้อหิน คือการลดความดันในตา การรักษาโรคต้อหินมีหลายวิธี ได้แก่ การใช้ยาหยอดตา การรับประทานยา การผ่าตัดด้วยแสงเลเซอร์ และการผ่าตัดชนิดอื่น ๆ

การรักษาด้วยยาหยอดตา การรักษาโรคต้อหินมักเริ่มด้วยยาหยอดตาตามที่แพทย์สั่ง ซึ่งการหยอดตาจะช่วยลดความดันลูกตา โดยไปลดการสร้างน้ำหล่อเลี้ยงลูกตา หรือช่วยเพิ่มอัตราการไหลออกของน้ำหล่อเลี้ยงลูกตา

กลุ่มของยาหยอดตาที่ใช้รักษาโรคต้อหิน เช่น
แอลฟ่า อดริเนอจิก อโกนิส (Alpha-adrenergic Agonists) ช่วยลดการสร้างของเหลวในลูกตา และเพิ่มการไหลออกของของเหลว
เบต้า บล็อคเกอร์ (Beta Blockers)

ช่วยลดการสร้างของเหลวในลูกตาและลดอัตราการไหลของของเหลวที่เข้าไปในลูกตา
คาร์บอนิก แอนไฮเดรส อิฮิบิเตอร์ (Carbonic Anhydrase Inhibitors) มีทั้งที่เป็นยาหยอดตา และยาเม็ดรับประทาน ออกฤทธิ์โดยช่วยลดการสร้างของเหลวในลูกตา
พลอสตาแกรนดินส์ (Prostaglandins)

ช่วยลดความดันลูกตาโดยเพิ่มการไหลออกของของเหลวในลูกตา
โคลิเนอร์จิก เอเจนท์ (Cholinergic Agents)

การรักษาด้วยยารับประทาน หากการหยอดตาไม่ช่วยให้ความดันในตาลดลงไปในระดับที่ต้องการ แพทย์อาจแนะนำให้ใช้ยารับประทาน โดยทั่วไปจะใช้ยาคาร์บอนิก แอนไฮเดรส อิฮิบิเตอร์ (Carbonic Anhydrase Inhibitors) ซึ่งมีทั้งที่เป็นยาหยอดตาและยาเม็ดรับประทาน โดยจะช่วยลดการสร้างของเหลวในลูกตา แต่มีผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้ ได้แก่ ปัสสาวะบ่อย มีอาการชาที่นิ้วมือและนิ้วเท้า มีภาวะซึมเศร้า มีอาการปวดท้อง หรืออาจเกิดนิ่วในไตได้

การผ่าตัดและการบำบัดโรควิธีอื่น ๆ เป็นวิธีนอกเหนือจากการใช้ยาหยอดตาและใช้ยารับประทาน ซึ่งประกอบไปด้วยกระบวนการการผ่าตัดหลายแบบ หรือการรักษาบำบัดด้วยการใช้เลเซอร์ โดยวิธีเหล่านี้มีเป้าหมายในการระบายออกของของเหลวในตาให้ดีขึ้น และลดความดันในตา
การรักษาด้วยเลเซอร์ การยิงเลเซอร์ (Laser Trabeculoplasty) ใช้รักษาโรคต้อหินชนิดมุมเปิด โดยใช้แสงเลเซอร์สร้างรูทางเปิดเล็ก ๆ ที่มุมระบายของลูกตา ช่วยให้ระบายน้ำหล่อเลี้ยงลูกตาได้ดียิ่งขึ้น และช่วยลดความดันตา
การผ่าตัด เปิดทางระบายให้น้ำข้างในออกมาอยู่ที่ใต้เยื่อบุตา เพื่อลดความดันข้างในลูกตา ในกรณีที่การรักษาเบื้องต้นไม่ได้ผล

ภาวะแทรกซ้อนของต้อหิน

หากพบว่าเป็นโรคต้อหินไม่ว่าจะชนิดใดก็ตาม ถ้าผู้ป่วยไม่เริ่มทำการรักษาอย่างทันท่วงที ปล่อยเอาไว้ก็จะทำให้อาการของโรคค่อย ๆ พัฒนาไปทางที่แย่ลง ประสาทตาก็จะค่อย ๆ ถูกทำลายและเสื่อมลง หรือหากผู้ป่วยที่เป็นต้อหิน ได้ทำการรักษาแล้ว แต่ไม่ทำการรักษาอย่างสม่ำเสมอ ไม่ไปพบแพทย์ตามนัด หรือไม่ปฏิบัติตามแผนการรักษาที่วางเอาไว้อย่างสม่ำเสมอ ก็อาจทำให้ต้องสูญเสียการมองเห็นไปในที่สุด

ภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น หลังจากการรักษาต้อหินด้วยการผ่าตัด อาจทำให้เกิดเลือดออกในตาหรือเกิดการติดเชื้อในตา หรือแม้แต่การใข้ยาหยอดตาที่ไม่ถูกต้อง ด้วยการซื้อมาใช้เองไม่ปรึกษาแพทย์ เพื่อความปลอดภัยจึงไม่ควรซื้อมาใช้เอง และควรปรีกษาแพทย์ ใช้ยาตามที่แพทย์สั่งเท่านั้น

การป้องกันต้อหิน

โรคต้อหิน เป็นภัยเงียบที่ป้องกันได้ ถึงแม้จะเป็นโรคที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่หากได้รับการตรวจและได้รับการรักษาตั้งแต่ระยะแรก ๆ ก็สามารถช่วยป้องกันการเสื่อม หรือลดการถูกทำลายของประสาทตา เพื่อไม่ให้เกิดการสูญเสียในการมองเห็น

ควรปฏิบัติตัวเพื่อให้มีสุขภาพตาที่ดีและห่างไกลจากต้อหิน ซึ่งสามารถปฏิบัติได้ง่าย ๆ ไม่ว่าจะเป็นการตรวจสายตาอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงอายุตั้งแต่ 40 ปี ขึ้นไป หรือผู้สูงอายุ ควรได้รับการตรวจสายตาเป็นประจำทุกปี พบแพทย์ตามนัดทุกครั้ง หยอดยาตามแพทย์สั่งอย่างสม่ำเสมอ และไม่ควรซื้อยาหยอดตาใช้เอง พยายามควบคุมโรคประจำตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ หรือการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ รับประทานวิตามินบำรุงสายตา เป็นต้น

นอกจากนั้น การออกกำลังกายก็มีส่วนช่วยให้ระบบไหลเวียนเลือดดีขึ้น และสามารถบรรเทา อาการได้ แต่ควรปรึกษาแพทย์ถึงวิธีการออกกำลังกายที่เหมาะสมกับสภาพร่างกาย และไม่ควรเล่นกีฬาที่ต้องห้อยศีรษะ ซึ่งเป็นการเพิ่มความดันในตาและอาจเป็นอันตราย

การดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนมากเกินไปสามารถเพิ่มความดันในตาได้ ดังนั้นควรลดปริมาณการดื่ม หรือดื่มอย่างพอดี เวลานอนควรหนุนหมอนในระดับพอเหมาะไม่สูงไม่ต่ำเกินไป ยกหมอนให้สูงประมาณ 20 องศา จากแนวการนอน ซึ่งพบว่าวิธีนี้ทำให้สามารถลดความดันในลูกตาขณะนอนหลับได้


https://www.pobpad.com

สนใจสินค้านี้ สั่งซื้อราคาถูกพิเศษที่>>http://www.vitamin24hr.com
ถูกที่สุดทั่วไทย สินค้าบริษัท
แอดไลน์ที่>> http://line.me/ti/p/%40vitamin24hr
หรือ ไลน์ไอดี @vitamin24hr
****
วันนี้กดไลค์เพจเราและแชร์แบบสาธารณะ เพื่อลุ้นรับขนาดทดลอง จัดส่งถึงบ้าน ประกาศผลทุกสิ้นเดือนจ้า ^__^

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

www.True100percent.com โทร 092-6161666, 02-0027539 : LINE: @mox9486f

เวชสำอางค์ ให้คุณช้อปจนจุใจ